วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

แบบทดสอบเรื่อง Windows server 2003

แบบทดสอบเรื่อง Windows server 2003
1.ในปีพ.ศ. 2548 ไมโครซอฟท์ได้ประกาศ วินโดวส์เซิฟเวอร์ใดวินโดวส์
ก.วินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ ลองฮอร์นข.วินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2003
ค.วินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2000
ง.วินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ โลฮอร์น
2.ระบบปฏิบัติการตระกูล Windows Server 2003 มีส่วนช่วยหลายๆอย่างยกเว้นข้อใด
ก.เพิ่มผลการทำงานให้กับทุกส่วนขององค์กร
ข.ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ค.แอพพลิเคชั่นได้รับการพัฒนา, นำไปใช้ และทำงานได้ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น
ง.เพิ่มงานให้แก่องค์กร
3.วินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2003 ได้ออกเมื่อใด
ก.วันที่ 28 เมษายนพ.ศ.2547
ข.วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2547
ค.วันที่28 มีนาคม พ.ศ. 2457
ง.วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2457
4.ข้อใดไม่ใช่บริการของบริการคลัสเตอร์
ก.การจัดการฐาน ข้อมูล
ข.การใช้ข้อมูลร่วมกันผ่านอินทราเน็ต
ค.การใช้ไฟล์ร่วมกัน
ง.การทำธุรกิจร่วมกัน
5.การติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 2003 Serverแบ่งออกเป็นกี่แบบ
ก. 1แบบ
ข. 2แบบ
ค. 3แบบ
ง. 4แบบ
6.การเซ็ตให้บูตเครื่องจาก CD-Rom Drive ก่อน โดยการเข้าไปปรับตั้งค่าใน ในอะไรของเครื่องคอมพิวเตอร์
ก.CPU
ข.RAM
ค.bios
ง.Rom
7.Windows Server 2003 ได้รวมฟังก์ชั่นการทำงานของระบบที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาบริการเว็บที่ชื่อว่าอะไร
ก.LMX
ข.XML
ค.MXL
ง.XLM
8.Active Directory หมายถึงอะไร
ก.การบริหารข้อมูลผู้ใช้บนเครือข่ายที่มีความซับซ้อนที่ดีขึ้น
ข.สร้างนโยบายรวมศูนย์เพื่อบริหารการใช้ซอฟท์แวร์ของทั้งเครือข่ายที่ดีและปลอดภัยขึ้น
ค.ประสิทธิภาพการทำงานของ Server
ง.บริหารการลบและกู้คืนไฟล์ที่ดีขึ้น
9.Terminal Services หมายถึงอะไร
ก.การให้บริการที่ไม่ขาดตอน
ข.การรันโปรแกรมโดยอาศัยทรัพยากรของเซอร์ฟเวอร์ผ่านหน้าจอของ Client
ค.การบริหารไฟล์จำนวนมากมหาศาลในองค์กรที่ง่ายขึ้น
ง.การกู้ข้อมูลคืน โดยใช้เครื่องมือ
10.วินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2003 (Windows Server 2003)เป็นรุ่นถัดจากรุ่นใด
ก.วินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2000
ข.วินโดวส์ xp
ค.วินโดวส์ 95
ง.วินโดวส์ Mobile

เฉลยคำถาม
1.ตอบ (ก) 2.ตอบ (ง ) 3.ตอบ (ข) 4.ตอบ (ง) 5.ตอบ (ค) 6.ตอบ (ค) 7.ตอบ (ข) 8.ตอบ (ก) 9.ตอบ (ข)10.ตอบ (ก)

แบบทดสอบเรื่อง IP Adress

แบบทดสอบเรื่อง IP Adress

1. IP Address มีอยู่กี่บิต
ก. 4 บิต
ข. 8
ค.16 บิต
ง. 32 บิต
2. IP Address จะประกอบด้วยตัวเลข 2 ส่วน คืออะไร
ก. Network Address และ Computer Address
ข. Computer Address และ Internet Address
ค. Network Address และ Internet Address
ง. ถูกทุกข้อ
3. 209.123.226.168 อยู่ในclass อะไร
ก. Class A
ข. Class B
ค. Class C
ง. Class D
4. การจำกัดบางหมายเลขเพื่อใช้เป็นการภายใน หมายเลขใดที่อยู่ใน class B
ก. ตั้งแต่ 10.xxx.xxx.xxx
ข. ตั้งแต่ 172.16.xxx.xxx ถึง 172.31.xxx.xxx
ค. ตั้งแต่ 192.168.0.xxx ถึง 192.168.255.xxx
ง. ไม่มีข้อถูก
5. สำหรับภายในองค์กร ก็มีหมายเลขต้องห้ามใช้คือหมายเลขใด
ก. 127.xxx.xxx.xxx
ข. 0.0.0.0
ค. ถูกทั้งข้อ ก และ ข
ง. ไม่มีข้อถูก
6. CIDR มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
ก. Super net
ข. subnet
ค. broadcast
ง. ไม่มีข้อถูก
7. ข้อใดคือ Subnet Mask ของ IP address 45 . 23 . 21 . 8
ก. 255 . 255 . 0 . 0
ข. 255 . 255 . 255 . 0
ค. 255 . 192 . 0 . 0
ง. 255 . 255 . 255 . 240
8. หมายเลข Host มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
ก. Prefix
ข. Suffix
ค.Perfix
ง. ถูกทั้งข้อ ก และ ค
9. Subnet Mask = 255. 255. 255. 240 แปลงเป็นเลขฐานสองได้ข้อใด
ก. 11000110 00111100 01000110 01010001
ข. 11111111 11111111 11111100 00000000
ค. 11111111 11111111 11000000 00000000
ง. 11111111 11111111 11111111 11100000
10. Subnet Mask ของ Length (CIDR) /7 คือข้อใด
ก. 248.0.0.0
ข. 252.0.0.0
ค. 254.0.0
ง.255.0.0.0

เฉลยคำถาม
1.เฉลย ง. 2. เฉลย ก. 3. เฉลย ค. 4. เฉลย ข. 5. เฉลยค. 6. เฉลย ก. 7. เฉลย ก. เฉลย ข. Suffix 9. เฉลย ง. 10.เฉลย ค.

แบบฝึกหัดระบบเครือข่าย


1.การเชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการโอนถ่ายข้อมูลและสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ หมายถึงข้อใด
1 เครือข่ายคอมพิวเตอร์
2 อินเตอร์เน็ต
3 แบนด์วิทช์
4 บิต
2.เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลในด้านต่างๆ และมีการให้บริการในหลายรูปแบบ คืออะไร
1 แฟ้มข้อมูล
2 อินเตอร์เน็ต
3 ไปรษณีย์อิเล็คโทรนิค
4 เกมส์ออนไลน์
3.การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายที่เครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในพื้นที่ใกล้กัน คือข้อใด
1 LAN (Local Area Network)
2 WAN (Wide Area Network)
3 MAN (Metropolitan Area Network)
4 ถูกทุกข้อเลย
4.การเชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการโอนถ่ายข้อมูลและสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ หมายถึงข้อใด
1 เครือข่ายคอมพิวเตอร์
2 อินเตอร์เน็ต
3 แบนด์วิทช์
4 บิต
5.เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลในด้านต่างๆ และมีการให้บริการในหลายรูปแบบ คืออะไร
1 แฟ้มข้อมูล
2 อินเตอร์เน็ต
3 ไปรษณีย์อิเล็คโทรนิค
4 เกมส์ออนไลน์
6.การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายที่เครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในพื้นที่ใกล้กัน คือข้อใด
1 LAN (Local Area Network)
2 WAN (Wide Area Network)
3 MAN (Metropolitan Area Network)
4 ถูกทุกข้อเลย
7.รูปแบบของเครือข่าย (Topology) แบบใดที่ยุ่งยากในการติดตั้ง แต่ง่ายในการหาจุดเสียและปรับปรุง
1 Mesh
2 Ring
3 Star
4 Bus
8.ควรเลือกรูปแบบของเครือข่าย (Topology) แบบใดเพื่อรองรับการขยายขนาดเครือข่ายในอนาคต
1 Ring
2 Star
3 Bus
4 Mesh
9.เทคโนโลยีเครือข่ายในข้อใด โดยทั่วไปนิยมใช้เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network)
1 Token Ring
2 Ethernet
3 ATM
4 FDDI
10.ROM" มาจาก
1 Read Only Memory
2 Random Only Memory
3 Read Output Memory
4 Read Output Memory


เฉลยคำถาม
1.ตอบ (1)2.ตอบ (2)3.ตอบ (1)4.ตอบ (1)5.ตอบ (2)6.ตอบ (1)7.ตอบ(1)8.ตอบ(4)9.ตอบ(2)10.ตอบ(2)

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ระบบเครือข่าย

ประเภทของระบบเครือข่าย
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อาจนิยามได้ 2 ประเภทคือ
1. เครือข่ายทางกายภาพ (Physical Networks) หมายถึงสายและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย อันได้แก่
- Ethernet Wiring ซึ่งมีการเชื่อมต่อได้หลายแบบ เช่น thick coaxial cable (10BASE5) แบบ thin coaxial cable(10BASE2) และแบบ twisted pair (10BASE-T) หรือที่มักเรียกกันว่า UTP
- สายใยแก้วนำแสง Optical Fiber (FDDI)
- สายโทรศัพท์ทั้งแบบ Analog และ ISDN
-สายเคเบิลใต้มหาสมุทรซึ่ง
Physical Networks ยังรวมไปถึงการเชื่อมต่อแบบที่มองไม่เห็นด้วยอีกด้วย เช่น
- สัญญาณไมโครเวฟ
- สัญญาณดาวเทียม
-ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่
2. เครือข่ายเชิงตรรก (Logical Networks)เป็นเครือข่ายที่เกิดจากการสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนเครือข่ายทางกายภาพ โดยความสัมพันธ์นั้นหมายถึง การทำงานร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่ง การมีจุดสนใจร่วมกัน การใช้ข้อมูลร่วมกัน หรือกิจกรรมใดๆ ที่กำหนดให้มนุษย์มีส่วนร่วม (ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคอมพิวเตอร์) เช่น
- Internet
- SchoolNet
- GINET (Government Information Networks)
- UNINET (University Networks)

องค์ประกอบของระบบเครือข่าย
จะต้องมี 3 ประการนี้จึงจะเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนระบบเครือข่าย
- เครื่องคอมพิวเตอร์ PC / Macintosh
- เครื่องคอมพิวเตอร์เวอร์คสเตชัน
2. Physical Media หรือสื่อเชื่อมต่อทางกายภาพอันได้แก่ สาย (Cable) และ Hub หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ
3. ระเบียบพิธีการติดต่อสื่อสาร (Protocol) ก็คือระเบียบหรือข้อตกลง (rules) ที่ตั้งขึ้น เพื่อทำให้ผู้ที่จะสื่อสารกันเข้าใจกันและกัน ตัวอย่างเช่นสัญญาณ ธงที่ทหารเรือใช้สื่อสารกัน เป็นต้น
แบบของโปรโตคอล
1. Protocol ที่ใช้กับ Physical Networks ใช้ควบคุมสายเชื่อมต่อ บางทีเรียก Data Link เช่น
- Ethernet Protocol ใช้ควบคุมการเชื่อมต่อด้วย Ethernet Wiring
- FDDI ควบคุมการเชื่อมต่อแบบใยแก้วนำแสง
- SLIP/PPP ควบคุมการเชื่อมต่อด้วยสายโทรศัพท์
2. Protocol ที่ใช้กับ Logical Networks ใช้ควบคุมการสื่อสารบน Logical Networks เช่น
- TCP/IP ใช้กับการสื่อสารบนระบบอินเตอร์เน็ต/อินทราเน็ต/เอ็กซ์ทราเน็ต
-IPX/SPX ใช้กับการสื่อสารบนเครือข่าย Novell Netware ของเครื่อง PC
- NETBEUI ใช้กับการสื่อสารของเครือข่าย Microsoft Network
- AppleTalk ใช้กับการสื่อสารระหว่างเครื่อง Apple Macintosh

LAN กับ Ethernetรูปแบบของ LAN
ในโลกนี้พอจะแบ่งออกได้เป็นระบบใหญ่ๆ ได้ 2 ระบบคือ Ethernet กับ Token Ring ระบบ Ethernet นั้นนิยมกันมากกว่าระบบ Token Ring มากๆ โดยระบบ Ethernet นั้นสามารถต่อได้ในแบบ Chain เรียกตามภาษาเทคนิคว่าแบบ 10Base-2 และ 10Base-5 กับแบบรูปดาว Star เรียกตามภาษาเทคนิคว่า 10Base-T เจ้าเลข 10 ข้างหน้านี้หมายความว่ามันสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 10 Mbps (10 Megabits per second) เลข 2 และ 5 ข้างท้ายบอกว่าสายที่ใช้ต่อ LAN ในวงเดียวกันยาวได้อย่างมาก 200 (จริงๆแล้ว 180) และ 500 เมตรตามลำดับ ส่วนตัว T แปลว่าสายที่ใช้เป็นแบบ Twisted Pair ซึ่งยาวได้ไม่เกิน 100 เมตร Token Ring คือ LAN ที่มีลักษณะต่อกันเป็นวงและมีตัวนำสารที่เรียกว่า Token วิ่งวนรอบๆ ไม่ค่อยมีใครเขาใช้กัน เพราะมีราคาแพงและต่อยาก เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มาต่อกันในระบบ Ethernet นั้นจะต้องมี Ethernet Card ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณในเครือข่าย ซึ่งแต่ละ Card จะมีหมายเลข Ethernet Address เฉพาะตัว ระบบ Ethernet นี้เมื่อต่อกับ Internet แล้วเวลามีใครนอกเครือข่าย ติดต่อมาหาเครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่าย Internet Address นั้น จะต้องถูกแปลงมาให้เป็น Ethernet Address ก่อนเพื่อการอ้างถึงให้ถูกว่าเป็นเครื่องใด โดยข้อมูลนั้นพร้อม Ethernet Address ปะไว้ที่หัวจะไหลผ่านเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง เครื่องใดก็ตามเมื่อทราบว่าข้อมูลนั้นเป็นของตัวก็จะหยิบออกไปเอง จากการที่ข้อมูลนี้ไหลผ่าน Network Card ของทุกเครื่อง ทำให้สามารถดังฟังข้อมูลได้ใน LAN เดียวกัน สามารถอ่าน e-mail หรือ อ่านหน้าจอใครก็ได้บน LAN เดียวกัน

10Base-T เจ้าแห่ง LAN
ในแวดวงของระบบ Ethernet แล้ว 10Base-T ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะต่อง่าย บำรุงรักษาก็ง่าย หากมีเครื่องใดเครื่องหนึ่งก่อให้เกิดปัญหาแล้ว ก็ไม่เป็นการรบกวนเครื่องคอมพิวเตอร์ (node) อื่นเลย ต่างกับ 10Base-2 ซึ่งต่อกันเป็นแบบโซ่ หากจุดใดมีปัญหา จะทำให้ LAN ทั้งวงไม่ทำงาน การต่อ LAN แบบ 10Base-T จะมีอุปกรณ์เชื่อม ที่เรียกว่า Hub ในภาคฟิสิกส์เราตอนนี้รู้สึกจะมี 3 ตัวแล้ว ซึ่งแต่ละตัวต่อได้ 24 เครื่อง Hub นี้สามารถต่อกับเครือข่ายภายนอกโดยผ่าน Router ซึ่งภาคเรามีเครื่อง PC อยู่เครื่องหนึ่งทำหน้าที่เป็น Router ที่ Hub จะมี LED ที่แสดงว่าสายกำลังใช้งานอยู่หรือไม่
TCP/IP กับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
เครื่องคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต สื่อสารระหว่างกันโดยใช้ Transmission Control Protocol (TCP) และ Internet Protocol (IP) รวมเรียกว่า TCP/IP ข้อมูลที่ส่งจะถูกตัดออกเป็นส่วนๆ เรียก packet แล้วจ่าหน้าไปยังผู้รับด้วยการกำหนด IP Address เช่น สมมติเราส่ง e-mail ไปหาใครสักคน e-mail ของเราจะถูกตัดออกเป็น packet ขนาดเล็กๆ หลายๆ อัน ซึ่งแต่ละอันจะจ่าหน้าถึงผู้รับเดียวกัน packets พวกนี้ก็จะวิ่งไปรวมกับ packets ของคนอื่นๆ ด้วย ทำให้ในสายของข้อมูล packets ของเราอาจจะไม่ได้เรียงติดกัน packets พวกนี้จะวิ่งผ่าน ชุมทาง (gateway) ต่างๆ โดยตัว gateway (อาจเรียก router) จะอ่านที่อยู่ที่จ่าหน้า แล้วจะบอกทิศทางที่ไปของแต่ละ packet ว่าจะวิ่งไปในทิศทางไหน packet ก็จะวิ่งไปตามทิศทางนั้น เมื่อไปถึง gateway ใหม่ก็จะถูกกำหนดเส้นทางให้วิ่งไปยัง gateway ใหม่ที่อยู่ถัดไป จนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง เช่นเราติดต่อกับเครื่องในอเมริกา อาจจะต้องผ่าน gateway ถึง 10 แห่ง เมื่อ packet วิ่งมาถึงปลายทางแล้ว เครื่องปลายทางก็จะเอา packets เหล่านั้นมาเก็บสะสมจนกว่าจะครบ จึงจะต่อกลับคืนให้เป็น e-mail การที่ข้อมูลมีลักษณะเป็น packet ทำให้ในสายสื่อสารสามารถที่จะ ขนส่งข้อมูลโดยไม่ต้องจอง (occupies) สายไว้สายจึงสามารถใช้ร่วมกันกับข้อมูลที่ส่งจากเครื่องอื่นได้ ต่างจากโทรศัพท์ที่ขณะใช้งาน จะไม่มีใครใช้สายได้ ดังตัวอย่างในรูปข้าล่างนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ A และ C สื่อสารกันด้วย packet สีดำ ซึ่งใช้สายร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ซึ่ง packet ดังกล่าวอาจจะเป็นสัญญาณเสียง (เช่น Internet Phone) ซึ่งเมื่อ packet เดินทางมาถึงก็จะถูกจับมารวมกันให้เป็นเสียงของการพูดคุย ไม่เหมือนโทรศัพท์แบบปรกติ ที่ขณะใช้งานสาย จะไม่สามารถนำไปทำงานอื่น ๆ ได้อีก